เส้นทางลูกหนังของ โอโคชา เริ่มต้นตั้งแต่เขาลืมตาดูโลก เมื่อเจ้าตัวเกิดมาในครอบครัวที่ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของของประเทศไนจีเรีย ทำให้ตั้งแต่เด็ก ๆ เขาและพี่ชายมักจะหาเวลาออกไปเล่นฟุตบอลตามข้างถนนทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ด้วยความที่ครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร จึงต้องหาเศษวัสดุมาม้วนพันเป็นก้อนกลม ใช้แทนลูกฟุตบอลอยู่เสมอ

ก่อนที่มันจะช่วยขัดเกลาให้เขากลายเป็นผู้เล่นจอมเทคนิค และเมื่ออายุได้เพียง 16 ปี ความสามารถของ โอโคชา ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก หลังโชว์ทีเด็ดในสีเสื้อ อีนูกู เรนเจอร์ส ด้วยการลากเลื้อย ก่อนจะยิงประตูผ่านมือ วิลเลียมส์ ออคปารา อดีตผู้รักษาทีมชาติไนจีเรีย ของ บีบีซี ไลออนส์ เข้าไป ซึ่งนี่เป็นเพียงบทแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าตัวก็ได้ย้ายมาค้าแข้งในยุโรปด้วยความบังเอิญ

มันเริ่มจากช่วงซัมเมอร์ในปี 1990 เมื่อ โอโคชา อยากเห็นว่าฟุตบอลในฟื้นดินทวีปยุโรปเป็นอย่างไร จึงขอติดตาม เบเนบิ นูมา เพื่อนของพี่ชาย มาเที่ยวและชมเกมการแข่งขันฟุตบอลที่ประเทศเยอรมัน 

ในตอนนั้น นูมา เล่นให้กับ โบรุสเซีย นอยน์เคียร์เชิน ทีมระดับ 3 ของลีกเมืองเบียร์ อยู่แล้ว เขาจึงชวน โอโคชา ไปซ้อมด้วยเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอ แต่ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่น ทำให้เขาถูกโค้ชของทีมชวนมาทดสอบฝีเท้า ก่อนจะได้รับสัญญาอาชีพ

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของตำนาน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาได้ย้ายไปเล่นให้ทีมในลีกสูงสุดอย่าง ไอน์ทรัค แฟรงต์เฟิร์ต ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งให้กับทีมดังมากมายในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เฟเนร์บาห์เช ของ ตุรกี, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง บนลีกเอิง หรือ โบลตัน วันเดอเรอร์ส จาก พรีเมียร์ลีก

โอโคชา ถือผู้เล่นที่เกิดมาเพื่อเป็นนักเตะหมายเลข 10 ตัวจริง เขาเต็มไปด้วยความสามารถเฉพาะตัว และเทคนิคแพรวพราว โดยเฉพาะการเลี้ยงบอล ทำให้ทุกครั้งที่เขาได้ลงสนาม ผู้คนจะได้เห็นลีลาการเล่นที่ตื่นตาจากเขา

แน่นอนว่าเบื้องหลังความสามารถของเขาล้วนมาจากชีวิตในวัยเด็ก เพราะการต้องเล่นในพื้นที่แคบ ๆ ริมถนน บวกกับการต้องใช้ทักษะในการควบคุมลูกบอลที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะกระดอนไปทางไหน ทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ไปโดยประติยาย และมันก็กลายเป็นอาวุธที่ใช้เล่นงานคู่แข่งจนหัวปั่น ทำให้นักเตะหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของเขา 

โอโคชา ไม่ได้มีเด็ดที่การเลี้ยงบอลเพียงอย่างเดียว เขายังเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ครบเครื่อง เพราะนอกจากจะสร้างสรรค์เกมได้แล้ว เจ้าตัวยังแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อีกด้วย อีกหนึ่งอย่างที่ยอดเยี่ยมของเขา คือ การทำประตูได้อย่างเฉียบคมทั้งเท้าขวาและซ้าย ด้วยสถิติ 85 ประตูในชีวิตการค้าแข้งก็พิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะที่ยิงฟรีคิกได้แบบมือฉมัง โดยเฉพาะระยะ 25 หลาลงมา ที่มันกลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่เล่นงานคู่แข่งมากแล้วนักต่อนัก โดยเฉพาะตอนที่ค้าแข้งอยู่ใน ตุรกี เมื่อ 36 ประตูที่เขาทำได้ในสีเสื้อของ เฟเนร์บาห์เช เกิดจากลูกฟรีคิกถึง 9 ลูก

แม้ว่าโอโคชา จะเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์โชกโชน หลังเริ่มต้นค้าแข้งในยุโรปตั้งแต่อายุยังน้อย และผ่านการเล่นให้กับทีมในหลากหลายประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับในระดับโลก เพราะหากไล่เรียงทีมในลีกใหญ่ที่เขาเคยลงเล่น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทีมระดับกลางของลีกในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น แฟรงค์เฟิร์ต หรือ โบลตัน ที่ไปไกลที่สุดคือการลุ้นตำแหน่งพื้นที่สโมสรยุโรปเท่านั้น

จริงอยู่ที่เขาเคยเล่นให้กับทีมใหญ่อย่าง ‘เปแอสเช’ หรือ เฟเนร์บาห์เช แต่สถานะของลีก ฝรั่งเศส และ ตุรกี ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงแค่ลีกเกรดบีของยุโรปเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำผลงานได้ดีมากน้อยแค่ไหนก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี

นอกจากนี้ การที่เขาไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้เลยแม้แต่ใบเดียว ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับการยกย่อง เขาแทบไม่มีผลงานที่จับต้องได้เลยตอนอยู่ แฟรงค์เฟิร์ต ส่วนตอนที่เล่นใน ตุรกี ก็คว้ามาได้เพียงแค่ถ้วย ซูเปอร์คัพ เช่นเดียวกับในทีมชาติ แม้จะพาทีมเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกได้ถึง 3 สมัย แต่สุดท้ายก็ไปจอดที่รอบ 16 ทีมเท่านั้น

ทำให้เกียรติยศที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันที่สุด คือแชมป์ แอฟริกัน เนชั่นคัพ ในปี 1994 และเหรียญทองโอลิมปิก ในปี 1996 แต่ก็เป็นช่วงเวลา 6 ปีแรกในชีวิตนักเตะอาชีพ ซึ่งหมายความว่าในอีก 12 ปีหลังจากนั้น เขาแทบไม่ได้แตะความสำเร็จอะไรอีกเลย

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บางคนดูความสำเร็จด้วยจำนวนแชมป์ที่คว้ามาได้ หรือการทำประตูได้มากมายเป็นกอบเป็นกำ แต่ไม่ใช่สำหรับผมแล้ว การที่ได้ดู เจย์ เจย์ โอโคชา ลงเล่นถือเป็นบุญตาแล้ว และผมจะจดจำเขาในฐานะนักเตะหมายเลย 10 ที่ดีที่สุดที่ของทวีป แอฟริกา เท่าที่เคยมีมา

เขียนโดย The Lite Team.
LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชม.